แบ่งประเภท “ร้านอาหาร” ตามรูปแบบบริการ
ประเภทร้านอาหาร บริการอาหาร
รู้จักประเภทของร้านอาหารตามรูปแบบบริการ เพื่อวางแผนกลยุทธ์ให้ตรงใจลูกค้า จัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และขยายธุรกิจได้อย่างยั่งยืน

รู้จักประเภทของร้านอาหาร เพื่อการวางระบบงานอย่างเหมาะสม

    ปัจจุบันมีร้านอาหารหลากประเภท หลายสไตล์เกิดขึ้นมากมายทั่วโลก  เจ้าของร้านจำนวนมากต่างพยายามสร้างความแตกต่าง เพิ่มจุดสนใจ เพื่อผลลัพธ์ตามคาดหวัง อย่างไรก็ตามการแสดงให้เห็นถึง “ความชัดเจน” ของแบรนด์ กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย  และการออกแบบการบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้า สามารถทำได้หากเข้าใจถึงประเภทของร้านอาหารตาม “รูปแบบการบริการ” ที่ธุรกิจของคุณกำลังดำเนินการอยู่ และยังเป็นวิธีชั้นยอดในการวางระบบทำงานให้เป็นมาตรฐาน วางแผนบริหารจัดการต้นทุน และเลือกนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาใช้เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดด้วย

ทำไม "รูปแบบการบริการ" ถึงสำคัญต่อธุรกิจร้านอาหารของคุณ?

  • ประสบการณ์ลูกค้า: ตั้งแต่การต้อนรับ การสั่งอาหาร การเสิร์ฟ ไปจนถึงการชำระเงิน รูปแบบการบริการจะกำหนดความพึงพอใจของลูกค้า
  • ต้นทุนการดำเนินงาน: จำนวนพนักงานที่ต้องใช้ รูปแบบการจัดเตรียมอาหาร และระยะเวลาในการให้บริการ ล้วนเชื่อมโยงกับรูปแบบการบริการ
  • ประสิทธิภาพการทำงาน: การออกแบบผังร้าน การจัดสรรหน้าที่ของพนักงาน และการจัดการคิวลูกค้า จะแตกต่างกันไปตามรูปแบบการบริการ
  • กลุ่มเป้าหมาย: ลูกค้าแต่ละกลุ่มมีความคาดหวังและพฤติกรรมการบริโภคที่แตกต่างกัน รูปแบบการบริการที่เหมาะสมจะดึงดูดและรักษาลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของคุณได้

ประเภท "ร้านอาหาร" ตามรูปแบบบริการ

มาดูกันว่ารูปแบบการบริการแต่ละประเภทมีลักษณะเด่นอะไรบ้าง

  1. บริการเต็มรูปแบบ (Full Service): สร้างความประทับใจด้วยการดูแลที่เหนือกว่า
    • เสิร์ฟที่โต๊ะ (Table Service): รูปแบบคลาสสิกที่คุ้นเคย พนักงานจะคอยต้อนรับ นำเมนูมาให้คำแนะนำ รับรายการอาหาร เสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่ม ดูแลความต้องการต่างๆ และอำนวยความสะดวกจนกระทั่งเช็คบิล หัวใจสำคัญคือการมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด พนักงานเสิร์ฟมีบทบาทสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเมนู และดูแลความต้องการต่างๆ อย่างใกล้ชิด
      • ข้อดี: สร้างความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้าได้สูง เพิ่มโอกาสในการสั่งอาหารและเครื่องดื่มที่มีราคาสูงขึ้น
      • ปัญหาที่อาจพบ: ต้นทุนด้านบุคลากรสูง การบริหารจัดการพนักงานให้มีมาตรฐานเดียวกัน ความผิดพลาดในการบริการอาจส่งผลกระทบต่อความพึงพอใจของลูกค้าอย่างมาก
      • แนวทางสำหรับผู้ประกอบการ: ลงทุนในการฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้เรื่องอาหาร เครื่องดื่ม และเสริมทักษะการบริการ มีการตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการบริการของพนักงานเป็นระยะ
    • บริการแบบมีผู้ช่วย (Assisted Service): รูปแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น อาจลดภาระของพนักงานเสิร์ฟในบางส่วน เช่น สั่งที่เคาน์เตอร์ เสิร์ฟที่โต๊ะ หรือ ตักเองบางส่วน เสิร์ฟบางส่วน
      • ข้อดี: ลดต้นทุนด้านแรงงานบางส่วน เพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการ
      • ปัญหาที่อาจพบ: การสื่อสารขั้นตอนการบริการที่ไม่ชัดเจนอาจสร้างความสับสน อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง
      • แนวทางสำหรับผู้ประกอบการ:  กำหนดขั้นตอนการบริการให้ชัดเจน ต้องออกแบบระบบการบริการให้ลูกค้าเข้าใจง่าย รักษามาตรฐานการบริการในส่วนที่มีพนักงานดูแล และควรมีพนักงานพร้อมให้ความช่วยเหลือเสมอ
  2. บริการตนเอง (Self-Service) หรือ มีบริการจำกัด (Limited Service): เน้นความสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงง่าย ลูกค้ามีบทบาทในการบริการตัวเองในหลายขั้นตอน
    • โรงอาหาร (Cafeteria/Canteen): เหมาะสำหรับสถานที่ที่มีผู้คนจำนวนมาก เช่น ห้างสรรพสินค้า หรือโรงเรียน ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกอาหารได้อย่างรวดเร็วและหลากหลาย
      • ลูกค้าเดินเลือกอาหารและเครื่องดื่มจากไลน์ที่จัดเตรียมไว้ จากนั้นลูกค้าจะนำอาหารไปชำระเงินที่เคาน์เตอร์และหาที่นั่งเอง 
      • ข้อดี: รองรับลูกค้าได้จำนวนมาก ลดต้นทุนด้านพนักงานเสิร์ฟ และนำเสนออาหารได้หลากหลายประเภท
      • ปัญหาที่อาจพบ: การควบคุมคุณภาพและความสดใหม่ของอาหาร การจัดการความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของพื้นที่
      • แนวทางสำหรับผู้ประกอบการ: ออกแบบไลน์อาหารให้ดูแลและจัดการได้ง่าย ควบคุมอุณหภูมิ รักษาความสะอาดและความสดใหม่ของอาหารอย่างสม่ำเสมอ
    • บุฟเฟต์ (Buffet): ดึงดูดลูกค้าที่ต้องการความคุ้มค่าและความหลากหลายของรายการอาหาร
      • ข้อดี: ดึงดูดลูกค้าได้มาก สร้างรายได้ได้ดี
      • ปัญหาที่อาจพบ: การจัดการต้นทุนวัตถุดิบและการควบคุมปริมาณอาหารให้พอดี มาตรฐานของแหล่งวัตถุดิบ ความยากในการรักษาคุณภาพอาหารในระยะยาว กำไรจริงต่อหัวอาจไม่สูง
      • แนวทางสำหรับผู้ประกอบการ: วางแผนเมนูให้สมดุลระหว่างต้นทุนและความหลากหลาย ควบคุมปริมาณอาหารที่นำมาเติมอย่างเหมาะสม เก็บข้อมูลและวิเคราะห์ด้วยสถิติ
    • เคาน์เตอร์บริการ (Counter Service): เหมาะสำหรับร้านอาหารขนาดเล็ก หรือร้านที่เน้นการซื้อกลับบ้าน ช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการ อาจมีขั้นตอนการเตรียมอาหารที่ซับซ้อนกว่า Fast Food เล็กน้อย
      • ข้อดี: ลดต้นทุนด้านพนักงานเสิร์ฟ การจัดการง่าย และสามารถเน้นไปที่คุณภาพของอาหารได้มากขึ้น
      • ปัญหาที่อาจพบ: การสร้างความประทับใจและความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะเวลาอันสั้น ความสามารถในการให้บริการลูกค้า
      • แนวทางสำหรับผู้ประกอบการ: ฝึกอบรมพนักงานให้มีความรวดเร็วและมีอัธยาศัยดี ออกแบบเมนูให้สั่งง่ายและเตรียมรวดเร็ว
  3. บริการด่วน/รวดเร็ว (Quick Service): ตอบโจทย์ลูกค้าในยุคเร่งรีบ เหมาะสำหรับทำเลที่มีการสัญจรสูง หรือลูกค้าที่มีเวลาน้อย
      • ข้อดี: รอบการหมุนเวียนลูกค้าสูง ต้นทุนการดำเนินงานต่ำกว่าร้านอาหารบริการเต็มรูปแบบ สามารถขยายสาขาได้ง่าย มีความชัดเจนของสินค้าหลักทำให้แบรนด์มีภาพลักษณ์ที่ชัดเจนกว่าการมีเมนูหลากหลายเกินไป
      • ปัญหาที่อาจพบ: แรงกดดันด้านเวลา การรักษาคุณภาพและความสม่ำเสมอของอาหาร
      • แนวทางสำหรับผู้ประกอบการ: พัฒนาระบบการสั่งและรับอาหารที่มีประสิทธิภาพ ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ออกแบบเมนูที่ปรุงง่ายและรวดเร็ว Pre-Cook อาหารบางส่วนไว้ล่วงหน้า และให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ
  4. บริการพิเศษ (Specialized Service): สร้างความได้เปรียบด้วยความเชี่ยวชาญที่แตกต่าง
    • บริการส่งถึงที่ (Delivery Service): ขยายโอกาสทางธุรกิจและเข้าถึงลูกค้าที่ไม่สะดวกในการเดินทาง
      • ข้อดี: เพิ่มยอดขาย ขยายตลาด
      • ปัญหาที่อาจพบ: การจัดส่งและต้นทุนการขนส่ง การรักษาคุณภาพสินค้าในการขนส่ง ระยะเวลาจัดส่ง
      • แนวทางสำหรับผู้ประกอบการ: เลือกใช้แพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ที่เหมาะสม ออกแบบและเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่รักษาคุณภาพอาหาร
    • บริการจัดเลี้ยง (Catering Service): สร้างรายได้จากงานอีเวนท์ต่างๆ และขยายการรับรู้แบรนด์
      • ข้อดี: สร้างรายได้จำนวนมากต่อครั้ง
      • ปัญหาที่อาจพบ: การบริหารจัดการงานอีเวนท์และการขนส่งอุปกรณ์
      • แนวทางสำหรับผู้ประกอบการ: สร้างทีมงานจัดเลี้ยงที่มีความเชี่ยวชาญ มีเมนูที่หลากหลายและปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของลูกค้า และวางแผนการดำเนินงานอย่างรอบคอบ

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา:

  • รูปแบบการขาย: บางร้าน Street Food อาจมีที่นั่งให้ลูกค้าทาน และอาจมีพนักงานช่วยเสิร์ฟเครื่องดื่ม หรือเก็บเงินที่โต๊ะบ้าง ซึ่งอาจทำให้ใกล้เคียงกับ Semi-Self Service หรือมีลักษณะผสมผสาน
  • ความซับซ้อนของอาหาร: หากเป็น Street Food ที่มีขั้นตอนการปรุงซับซ้อน ใช้เวลานาน อาจจะไม่เข้าข่าย Quick Service โดยสมบูรณ์

วางกลยุทธ์ให้เฉียบ: เลือกรูปแบบบริการที่ใช่สำหรับคุณ

การเลือกรูปแบบการบริการที่เหมาะสมไม่ใช่เรื่องเดาสุ่ม แต่ต้องมาจากการวิเคราะห์อย่างรอบด้านถึง

  • กลุ่มเป้าหมาย: ลูกค้าของคุณคือใคร? พวกเขามีความคาดหวังและพฤติกรรมการบริโภคอย่างไร?
  • ประเภทอาหารและคอนเซ็ปต์ร้าน: รูปแบบการบริการควรสอดคล้องกับประเภทอาหารและบรรยากาศที่ต้องการนำเสนอ
  • ทำเลที่ตั้ง: ทำเลเอื้อต่อการบริการรูปแบบไหน? มีข้อจำกัดด้านพื้นที่หรือการเข้าถึงหรือไม่?
  • งบประมาณและทรัพยากร: มีทรัพยากรบุคคลและงบประมาณเพียงพอสำหรับการบริการรูปแบบใด?
  • การแข่งขัน: คู่แข่งของคุณให้บริการในรูปแบบไหน? และคุณจะสร้างความแตกต่างได้อย่างไร?

คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับผู้ประกอบการ:

  • ผสมผสานรูปแบบการบริการ: ในบางกรณี การผสมผสานรูปแบบการบริการที่แตกต่างกันอาจเป็นทางออกที่ดี เช่น ร้านอาหาร Casual Dining ที่มีบริการจัดเลี้ยง
  • ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์: เทคโนโลยีสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการ ลดต้นทุน และยกระดับประสบการณ์ลูกค้าได้
  • รับฟังความคิดเห็นของลูกค้า: คำแนะนำจากลูกค้าเป็นข้อมูลที่มีค่าในการปรับปรุงและพัฒนารูปแบบการบริการของคุณให้ดีขึ้นได้
  • ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง: ตลาดและความต้องการของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในวันวาน ก็อาจล้มเหลวในวันนี้ได้ หากไม่พร้อมปรับตัวและพัฒนารูปแบบให้ทันสมัยอยู่เสมอ

บทสรุป

การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงประเภทของร้านอาหารตามรูปแบบการบริการ ไม่ใช่แค่การแบ่งกลุ่ม แต่เป็นการ “ติดอาวุธทางปัญญา” ให้กับผู้ประกอบการเช่นคุณ เพื่อนำไปวิเคราะห์ วางแผน และปรับปรุงธุรกิจได้อย่างตรงจุด การเลือกรูปแบบการบริการที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย คอนเซ็ปต์ร้าน และทรัพยากรที่มี จะช่วยลดปัญหา เพิ่มโอกาส และนำพาธุรกิจร้านอาหารของคุณไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

จงจำไว้ว่า “ความชัดเจน” คือกุญแจสำคัญในการบริหารจัดการร้านอาหารให้มีประสิทธิภาพ และความเข้าใจใน “รูปแบบการบริการ” คือจุดเริ่มต้นของความชัดเจนนั้น

วางโครงสร้างต้นทุนและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของธุรกิจ

วางแผนงบประมาณ วิเคราะห์ต้นทุนสินค้า และความเป็นไปได้ที่จะทำกำไร (Feasibility) หาจุดคุ้มทุนก่อนการลงทุนจริง ลดความความเสี่ยงเจ๊งเพราะไร้แบบแผน วิเคราะห์ให้เป็นอย่างมีระบบ

More
articles

สนใจร่วมขายเทมเพลต และผลงานดิจิตอล

วันเดียวเท่านั้น

ลดสูงสุด

50% Off

Days
Hours
Minutes

ส่วนลดออนไลน์ที่คุ้มที่สุดของปี